วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา


เสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา


รูปภาพที่เกี่ยวข้อง



ผู้แต่ง 
          ไม่ปรากฏนามผู้แต่งตอนขุนช้างถวายฎีกาแต่ได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่าแต่งดีเยี่ยม โดยเฉพาะ กระบวนกลอนที่สื่ออารมณ์สะเทือนใจ (เป็น ๑ ใน ๘ ตอนที่ได้รับการยกย่อง) ในตอนขุนแผน ขึ้นเรือนขุนช้างและตอนขุนแผนพานางวันทองหนีเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ตอนขุนช้างขอนางพิมและขุนช้างตามนางวันทองเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอนกำเนิดพลายงาม เป็นสำนวนของสุนทรภู่ 

ที่มาของเรื่อง 
          ขุนช้างขุนแผนเป็นตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาในเมืองสุพรรณบุรี และกาญจนบุรี โดยเชื่อกันว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในแผ่นดินสมเด็จพระพันวษาแห่งกรุงศรีอยุธยาโดยในตำนานเล่าเพียงว่านายทหารยศขุนแผนผู้หนึ่งได้ถวายดาบฟ้าฟื้นแด่สมเด็จพระพันวษา ซึ่งใช้วิธีการถ่ายทอดโดยการเล่าสืบสืบต่อกันมาเป็นนิทาน  จนกระทั่งมีผู้คิดวิธีการเล่าโดยการขับเป็นลำนำขึ้นมาจึงกลายเป็นใช้บทเสภา มีทั้งหมด ๔๓ ตอนด้วยกัน  ตอนที่นำมาเป็นบทเรียนนี้  คือ ตอนที่ ๓๕ เนื้อเรื่องกล่าวถึงพลายงาม  เมื่อชนะคดีความขุนช้างแล้วขุนช้างได้พานางวันทองกลับไปอยู่สุพรรณบุรี ส่วนตัวพลายงามเองก็กลับไปอยู่บ้านพร้อมหน้าญาติและพ่อขาดก็แต่แม่ ทำให้พลายงามเกิดความคิดที่จะพานางวันทองกลับมาอยู่ด้วยกัน  จะได้พร้อมหน้าพ่อ แม่ ลูก พอตกดึกจึงไปลอบขึ้นเรือนขุนช้างแล้วพานางวันทองหนีมาอยู่ที่บ้านกับตน ตอนแรกนางก็ไม่ยินยอมที่จะมาเพราะกลัวจะเป็นเรื่องให้อับอายว่าคนนั้นลากไปคนนี้ลากมาอีก และเกรงจะมีปัญหาตามมาภายหลัง จึงบอกให้พลายงามนำความไปปรึกษาขุนแผน  เพื่อฟ้องร้องขุนช้างดีกว่าจะมาลักพาตัวไป แต่พลายงามไม่ยอมสุดท้ายนางวันทองจึงจำต้องยอมไปกับพลายงาม
          ฝ่ายขุนช้างนอนฝันร้ายก็ผวาตื่นเอาตอนสาย  ครั้นตื่นขึ้นมาก็ร้องเรียกหานางวันทอง ออกมาถามบ่าวไพร่ก็ไม่มีใครเห็นจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ มุ่งมั่นจะตามนางวันทองกลับมาให้ได้ฝ่ายพลายงามก็เกรงว่าขุนช้างจะเอาผิด ถ้ารู้ว่าตนไปพานางวันทองมาจะทูลสมเด็จพระพันวษาอีก  แม่อาจจะต้องโทษได้ จึงใช้ให้หมื่นวิเศษผลไปบอกขุนช้างว่า ตนนั้นป่วยหนักอยากเห็นหน้าแม่  จึงใช้ให้คนไปตามนางวันทองมาเมื่อกลางดึก ขอให้แม่อยู่กับตนสักพักหนึ่งแล้วจะส่งตัวกลับมาอยู่กับขุนช้างตามเดิม ขุนช้างโมโหและแค้นยิ่งนักที่พลายงามทำเหมือนข่มเหงไม่เกรงใจตนจึงร่างคำร้องถวายฎีกาแล้วลอยคอมายังเรือพระที่นั่งของสมเด็จพระพันวษาเพื่อถวายฎีกา ทำให้สมเด็จพระพันวษาพิโรธมาก  ให้ทหารรับคำฟ้องมาแล้วให้เฆี่ยนขุนช้าง ๓๐ ที แล้วปล่อยไป และยังทรงตั้งกฤษฎีกาการรักษาความปลอดภัยว่า ต่อไปข้าราชการผู้ใดที่มีหน้าที่รักษาความปลอดภัยแล้วปล่อยให้ใครเข้ามาโดยมิได้รับอนุญาตจะมีโทษมหันต์ถึงประหารชีวิต
        กล่าวฝ่ายขุนแผนนอนอยูในเรือนกับนางแก้วกิริยาและนางลาวทองอย่างมีความสุขครั้นสอง
นางหลับ
ขุนแผนก็คิดถึงนางวันทองที่พลายงามไปนำตัวมาไว้ที่บ้านจึงออกจากห้องย่องไปหานางวันทองหวังจะร่วมหลับนอนกัน แต่นางปฏิเสธแล้วพากันหลับไป แต่พอตกดึกนางวันทองก็เกิดฝันร้ายตกใจตื่นเล่าความฝันให้ขุนแผนฟังขุนแผนฟังความฝันของนางก็รู้ทันทีว่าเป็นเรื่องร้าย อันตรายถึงชีวิตแน่นอน แต่ก็แกล้งทำนายไปในทางดีเสีย เพื่อนางจะได้สบายใจ 
          ฝ่ายสมเด็จพระพันวษา ครั้นทรงอ่านคำฟ้องของขุนช้างก็ทรงกริ้วยิ่งนัก  ให้ทหารไปตามตัวนางวันทอง ขุนแผนและพระไวยมาเฝ้าทันที ขุนแผนเกรงว่านางวันทองจะมีภัย  จึงเสกคาถาและขี้ผึ้งให้นางวันทองทาปากเพื่อให้พระพันวษาเมตตา  แล้วจึงพานางเข้าเฝ้า เมื่อพระพันวษาเห็นนางวันทองก็ใจอ่อนเอ็นดูตรัสถามเรื่องราวที่เป็นมาจากนางวันทองว่าตอนชนะคดีให้ไปอยู่กับขุนแผนแล้วทำไมจึงไปอยู่กับขุนช้างนางวันทองก็กราบทูลด้วยความกลัวไปตามจริงว่าขุนแผนถูกจองจำ ขุนช้างเอาพระโองการไปอ้างให้ฉุดนางไปอยู่ด้วย เพื่อนบ้านเห็นเหตุการณ์ก็ไม่กล้าเข้าช่วยเพราะกลัวผิดพระโองการ สมเด็จพระพันวษาฟังความทรงกริ้วขุนช้างมาก ทรงถามนางวันทองอีกว่าขุนช้างไปฉุดให้อยู่ด้วยกันมาตั้ง ๑๘ ปี แล้วคราวนี้หนีมาหรือมีใครไปรับมาอยู่กับขุนแผน  นางวันทองก็กราบทูลไปตามจริงว่า  พระไวยเป็นผู้ไปรับมาเวลาสองยาม ขุนช้างจึงหาความว่าหลบหนี สมเด็จพระพันวษาทรงกริ้วพระไวยที่ทำอะไรตามใจตน นึกจะขึ้นบ้านใครก็ขึ้น  ทำเหมือนบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแปและว่าขุนแผนรู้เห็นเป็นใจ  
          สมเด็จพระพันวษาทรงคิดว่า สาเหตุของความวุ่นวายทั้งหมดนี้เกิดจากนางวันทองจึงให้นางวันทองตัดสินใจว่าจะอยู่กับใคร นางวันทองตกใจประหม่า อีกทั้งจะหมดอายุขัยจึงบันดาลให้พูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าจะอยู่กับใคร  นางให้เหตุผลว่า นางรักขุนแผน  แต่ขุนช้างก็ดีกับนาง ส่วนพลายงามก็เป็นลูกรัก ทำให้สมเด็จพระพันวษากริ้วมาก เห็นว่านางวันทองเป็นคนหลายใจ เป็นหญิงแพศยา จึงให้ประหารชีวิตนางวันทองเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่นต่อไป 


คุณค่าที่ได้รับ 
          ด้านวรรณศิลป์ ด้านสังคม
                    • แสดงให้เห็นถึงศิลปะการแต่ง เช่น     
                         ๑. การพรรณนาให้เห็นภาพ
                         ๒. สัมผัสอักษร
                         ๓. ภาพพจน์
                               ๓.๑ อุปมา
                               ๓.๒ อุปลักษณ์ 
                               ๓.๓ สัทพจน์ 
                               ๓.๔ คำถามเชิงวาทศิลป์ 
                     •  แสดงให้เห็นภาพสังคมสมัยก่อนๆเช่น 
                           ๑.  ความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ 
                           ๒.  ความรักนะหว่างแม่และลูก 
                           ๓.  สะท้อนให้เห็นชีวิต  วัฒนธรรม  ค่านิยม และความเชื่อ 
                           ๔.  ความเชื่อในกฎแห่งกรรม 

          ด้านเนื้อหา
          ในยุคสมัยหนึ่ง ๆ มักนิยมเรื่องราวที่เข้ากับยุคสมัยนั้น ๆ เรื่องราวและเนื้อหาของวรรณคดีจะไม่ตายตัวแต่จะเปลี่ยนไปตามสภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคม พัฒนาการของสังคมจะเป็นเครื่องกำหนดเนื้อหาของวรรณคดี 


ความรู้เพิ่มเติม 
          เสภาขุนช้างขุนแผน
          เดิมเรื่องขุนช้าง ขุนแผน เล่าเป็นนิทาน แต่เนื่องจากเป็นเรื่องที่ยาวมาก เมื่อแต่งเป็นกลอน และขับเป็นลำนำด้วยก็ยิ่งจะต้องใช้เวลามาก ไม่สามารถจะขับให้ตลอดเรื่องในคืนเดียวได้ บทเสภาที่แต่งขึ้นจึงแต่งแต่เป็นตอนพอที่จะขับได้ภายในหนึ่งคืน ดังนั้น บทเสภาเดิมตั้งแต่ครั้งกรุงเก่า หรือที่แต่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 
จึงแต่งเป็นท่อนเป็นตอน ไม่เป็นเรื่องติดต่อเหมือนกับบทละคร การเอาบทเสภามารวมติดต่อกันให้เป็นเรื่องโดยสมบูรณ์ เพิ่งทำในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ หนังสือเสภาสมัยกรุงเก่าน่าจะสูญหายหมด เนื่องจากผู้ที่แต่งหนังสือเสภาสำหรับขับหากิน น่าจะปิดบังหนังสือของตน เพื่อป้องกันผู้อื่นมาแข่งขัน 
จะให้อ่านเพื่อท่องจำก็เฉพาะในหมู่ศิษย์และคนใกล้ชิด ด้วยสภาพดังกล่าวหนังสือเสภาจึงสาบสูญได้ง่าย 
ไม่เหมือนหนังสือประเภทอื่น เช่น หนังสือบทละคร และหนังสือสวด 
            ดังนั้น บทเสภาครั้งกรุงเก่า จึงตกมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์เพียงเล็กน้อย จากการจดจำกันมาและ
มีไม่มากตอน
         
          ตำนานเสภาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีหลักฐานแสดงที่มาได้ค่อนข้างดี ซึ่งจะพบได้จากกลอนของสุนทรภู่ กลอนไหว้ครู ที่ได้มีการเอ่ยชื่อครูเสภาไว้หลายท่าน พร้อมทั้งผลงานของท่านเหล่านั้น ที่ให้ไว้ในงานเสภา เช่น ครูทองอยู่ ครูแจ้ง ครูสน ครูเพ็ง พระยานนท์ เป็นต้น ส่วนครูปี่พาทย์ก็มีครูแก้ว ครูพัก ครูทองอิน ครูมีแขก ครูน้อย เป็นต้น หนังสือเสภาที่แต่งในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ จะแต่งเป็นตอน ๆ แต่ละตอนยาวประมาณ ๒ เล่มสมุดไทย พอจะขับได้ภายในหนึ่งคืน หนังสือเสภาเรื่องขุนช้าง ขุนแผน ที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน แต่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ และพระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าฯ เท่าที่รวบรวมได้ในหอพระสมุด
 มีต่างกันถึง ๘ ฉบับ และยังมีฉบับปลีกย่อยอีกต่างหาก 

รวมประมาณ ๒๐๐ เล่ม สมุดไทย

          ที่มาของเรื่อง ขุนช้างขุนแผน
          (๑) เรื่องนี้เชื่อกันว่าเกิดขึ้นจริงในสมัยสมเด็จพระพันวษา แห่งกรุงศรีอยุธยา
                   - ตำนวนเดิมเล่าเพียงว่า มีนายทหารผู้มีฝีมือนายหนึ่ง มีตำแหน่งเป็นขุนแผนได้ถวายดาบ
ฟ้าฟื้นแด่สมเด็จพระพันวษา
           (๒) ต่อมามีการนำเรื่อง ขุนช้างขุนแผน มาแต่งเป็นกลอนสุภาพและใช้ บทขับเสภาโดยใช้กรับเป็นเครื่องประกอบจังหวะ
                   - บทขับเสภาที่นิยมมากที่สุดคือเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ซึ่งได้รับการยกย่อง
จากวรรณคดีสโมสรว่า เป็นยอดของกลอนสุภาพที่มีความไพเราะ ดีเลิศ ทั้งเนื้อเรื่องและกระบวนกลอน
          (๓) บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน มีกวีเอกหลายท่านร่วมกันแต่ง สันนิษฐานว่าแต่งตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
                   - สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า
                                *ตอนขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง และตอนขุนแผนพานางวันทองหนีเป็นพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
                             *ตอนขุนช้างขอนางพิม และตอนขุนช้างตามนางวันทอง เป็นพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์)
                               *ตอนกำเนิดพลายงาม เป็นสำนวนของสุนทรภู่
          (๔)  ตอน ขุนช้างถวายฎีกานี้ ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง แต่เป็นหนึ่งใน ๘ ตอนที่ได้รับการยกย่องจากสมาคมวรรณคดี (สมัย ร.๗) ว่าแต่งดีเป็นเยี่ยม โดยเฉพาะกระบวนกลอนที่สื่ออารมณ์สะเทือนใจ

          โครงเรื่อง            
          • นางวันทอง มีชื่อเดิมว่า พิมพิลาไลย ซึ่งเป็นเพื่อนเล่นกับ พลายแก้ว และ ขุนช้างในตอนเด็ก
          • เมื่อโตขึ้น นางพิมได้พบกับพลายแก้ว อีกครั้ง ซึ่งในตอนนั้นพลายแก้วบวชเณรอยู่ซึ่งทั้งสอง
ก็แอบรักใคร่ชอบพอกัน เณรแก้วจึงแอบสึกและขึ้นไปหานางพิมบนเรือน
          • ทางด้าน ขุนช้าง ซึ่งมีฐานะร่ำรวย แต่หน้าตาอัปลักษณ์ก็หลงรักนางพิมเช่นกัน จึงวอนให้ 
นางเทพทอง (เป็นมารดา) ไปสู่ขอนางพิม
       • นางพิมเกรงว่า มารดาตนจะรับขันหมากของขุนช้าง จึงให้นางสายทอง (พี่เลี้ยง) ไปส่งข่าวให้เณรแก้ว รีบชิงมาสู่ขอก่อน
        • เณรแก้ว ลาสิกขา และให้นางทองประศรี มารดาของตน ไปสู่ขอนางพิม ทั้งคู่จึงได้แต่งงาน
        • หลังเข้าหอได้เพียงสองวัน พลายแก้วได้รับคำสั่งให้นำทัพไปรบกับพระเจ้าเชียงใหม่
      • นางพิมตรอมใจด้วยความคิดถึงพลายแก้ว บวกกับขุนช้างซึ่งทำทุกอย่างเพื่อให้นางพิมใจอ่อนมาเป็นภรรยาตน จึงล้มป่วยลง และได้เปลี่ยนชื่อเป็น วันทอง
        • ขุนช้างหลอก วันทอง ว่า พลายแก้ว เสียชีวิตในสนามรบไปแล้ว นางศรีประจัน(แม่ของวันทอง) เกรงว่าวันทองจะถูกริบเป็นม่ายหลวง จึงบังคับให้แต่งงานกับขุนช้าง นางจึงต้องแต่ง แต่วันทอง ยังไม่เชื่อว่าพลายแก้วตายแล้วจึงเฝ้ารอพลายแก้ว และขัดขืนยังไม่ยอมเป็นภรรยาขุนช้าง
       • พลายแก้วชนะศึกกลับมาได้รับยศเป็น ขุนแผน และได้รับพระราชทานนางลาวทอง มาเป็นภรรยาด้วย เมื่อขุนแผนได้พบกับวันทองก็เกิดทะเลาะวิวาทกันว่าวันทองไปแต่งงานใหม่ ส่วนวันทองก็ว่าขุนแผนนอกใจไปมีภรรยาใหม่ ขุนแผนโกรธจึงเข้าข้างลาวทอง และพานางไปอยู่กับแม่ที่กาญจนบุรี
          • นางวันทองทั้งโกรธแค้นเสียใจ และคิดว่าขุนแผนหมดรักตนแล้ว จึงยอมตกเป็นภรรยาขุนช้างในคืนนั้นเอง
          • ขุนแผนยังคงคิดถึงวันทอง จึงได้แอบขึ้นเรือนขุนช้างไป และพบวันทองนอนคู่กับขุนช้างอยู่ ก็โกรธแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากด่าประจานให้อับอาและจากไปทำให้ขุนช้างแค้นใจมาก
          • ต่อมาขุนช้างได้โอกาส เมื่อนางลาวทองไม่สบาย ขุนแผนซึ่งเข้าเวรอยู่เป็นห่วง อยากกลับไปดูแลจึงฝากเวรไว้กับขุนช้าง ซึ่งขุนช้างก็ได้นำความไปทูลสมเด็จพระพันวษา ว่าขุนแผนหนีเวร สมเด็จพระพันวษาจึงลงโทษด้วยการให้ขุนแผนออกไปตระเวณด่านอยู่ชายแดนและนำตัวลาวทองมากักไว้ไม่ให้ทั้งสองพบกัน
          • ขุนแผนโกรธแค้นขุนช้าง จึงคิดชิงตัวนางวันทอง โดยรวบรวมของวิเศษ อย่าง ได้แก่ กุมารทอง  ดาบฟ้าฟื้น  ม้าสีหมอก
          • จากนั้นขุนแผนจึงลอบขึ้นเรือนขุนช้างอีกครั้ง ซึ่งได้พบกับนางแก้วกิริยาธิดาสุโขทัย ที่บิดานำมาขัดดอกกับขุนช้างไว้ และได้นางเป็นภรรยา จากนั้นจึงเข้าไปหานางวันทองซึ่งวันทองไม่อาจจากขุนช้างได้ แต่เพราะด้วยความรักขุนแผน จึงยอมตามไปอยู่กับขุนแผน
          • ขุนช้างโกรธที่ขุนแผนพาตัวนางวันทองไปจึงถวายฎีการ้องทุกข์ สมเด็จพระพันวษา
          • ขุนแผนพาวันทองเร่รอนไปอยู่ตามป่า จนนางตั้งครรภ์ ขุนแผนสงสารวันทองที่ได้รับความลำบากจึงให้พระพิจิตรพาไปมอบตัวและกราบทูลเรื่องราวทั้งหมด สมเด็จพระพันวษาจึงตัดสินให้ขุนแผนได้นางวันทองคืนและขุนช้างถูกปรับไหม
          • ต่อมาขุนแผนคิดถึงนางลาวทองจึงขอพระราชทานคืน สมเด็จพระพันวษากริ้วมาก
และมีรับสั่งให้จับขุนแผนไปขังคุก ซึ่งขุนแผนยอมติดคุกโดยไม่คิดหนี  (ทั้ง ๆ ที่มีวิชาอาคมสามารถหนีได้)
          • วันหนึ่งขุนช้างสบโอกาส ให้บ่าวไพร่มาฉุดนางวันทองซึ่งกำลังไปเยี่ยมขุนแผน นางจึงต้องกลับไปอยู่กับขุนช้าง และคลอดลูกชื่อ พลายงาม 
            • ยิ่งพลายงามโตขึ้นก็ยิ่งหน้าตาละม้ายคล้ายขุนแผน ขุนช้างเมื่อรู้ว่าไม่ใช่ลูกตน
จึงลวงพลายงามไปฆ่าในป่า แต่ได้ผีพรายของขุนแผนช่วยไว้ จึงรอดมาได้ นางวันทองจึงให้
พลายงามไปอยู่กับนางทองประศรี (แม่ของขุนแผน) ที่กาญจนบุรี ส่วนตัวนางจำต้องอยู่กับขุนช้าง จนเมื่อพลายงามโตขึ้นได้รับราชการทำความดีความชอบ ได้เป็นจมื่นไวยวรนาถ
            • ในงานแต่งงานของพลายงาม ขุนช้างและนางวันทอง มาช่วยงาน ขุนช้างเมาและมีเรื่อง
กับพลายงาม จึงถูกพลายงามทำร้าย ขุนช้างจึงไปถวายฎีกากล่าวโทษพลายงาม และได้มีการดำน้ำพิสูจน์กัน ปรากฏว่าขุนช้างแพ้ และถูกตัดสินประหารชีวิต แต่นางวันทองขอให้พลายงาม
ขอพระราชทานอภัยโทษไว้ เพราะขุนช้างก็เคยดีกับนาง
            • พลายงามคิดถึงมารดา อยากให้กลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า จึงลอบขึ้นเรือน
และพานางหนี รุ่งขึ้นก็เกรงว่าขุนช้างจะเอาผิด จึงให้บ่าวไปส่งความว่าตนป่วยหนัก
 อยากให้แม่
มาดูใจสักพัก แล้วจะส่งคืน
            • ขุนช้างโกรธ จึงร่างฎีกาถวายถวายต่อสมเด็จพระพันวษาอีก
            • สมเด็จพระพันวษามีรับสั่งให้ไปเรียกทุกคนที่เกี่ยวข้องมา และเริ่มทำการตัดสินคดีความ ฝ่ายพลายงามผิดด้วยการไปลอบขึ้นบ้านผู้อื่น ทำเช่นบ้านเมืองไม่มีกฎหมาย ฝ่ายขุนช้างก็ผิดที่ว่าไปแย่งวันทองมา
            • สมเด็จพระพันวษาให้นางวันทองเข้าเฝ้าและตรัสถามให้กระจ่างว่านางจะเลือกอยู่กับใคร ขุนแผน ขุนช้าง หรือ พลายงาม ด้วยความประหม่า และ ณ ตอนนั้นชะตาถึงฆาต ทำให้นางตอบออกไปว่า นางก็รักขุนแผน แต่ขุนช้างก็แสนดี ส่วนพลายงามนี้ก็ลูกในอก
            • พระพันวษาโกรธมาก จึงมีรับสั่งให้ประหารชีวิตนาง

                         - ครอบครัวของ ''ขุนไกรพลพ่าย'' รับราชการทหาร มีภรรยาชื่อ 
''นางทองประศรี'' มีลูกชายด้วยกันชื่อ ''พลายแก้ว'' 
                    - ครอบครัวของ ''ขุนศรีวิชัย'' เศรษฐีใหญ่ของเมืองสุพรรณบุรี รับราชการเป็นนายกองกรมช้างนอก ภรรยาชื่อ ''นางเทพทอง'' มีลูกชายชื่อ ''ขุนช้าง'' ซึ่งหัวล้านมาแต่กำเนิด
                        - ครอบครัวของ ''พันศรโยธา'' เป็นพ่อค้า ภรรยาชื่อ ''ศรีประจัน'' มีลูกสาวรูปร่างหน้าตางดงามชื่อ ''นางพิมพิลาไลย'' 

          ครอบครัว ขุนแผน  ขุนแผน + ภรรยา ๕ คน 
                   ๑. นางวันทอง(พิมพิลาไลย) = พลายงาม 
                   ๒. นางลาวทอง(ไปรบที่เชียงใหม่) 
                   ๓. นางบัวคลี่(หนีไปถึงซ่องโจร) = กุมารทอง 
                   ๔. นางแก้วกิริยา(ลอบขึ้นเรือนขุนช้าง) = พลายชุมพล 
                   ๕. นางสายทอง(พี่เลี้ยงนางวันทอง) 

          ครอบครัว จมื่นไวยวรนาถ (พลายงาม)  จมื่นไวยวรนาถ + ภรรยา ๒ คน 
                   ๑. นางสร้อยฟ้า = พลายยง 
                   ๒. นางศรีมาลา = พลายเพชร 
           
 ของวิเศษของขุนแผน
          กุมารทอง 
          ตำรากุมารทองเป็นไสยศาสตร์ในยุคที่เรียกว่ากรรมฐานนิพานสูตร อันมีอยู่ในสมุดข่อยสมัยกรุงศรีอยุธยา ตำราแบ่งเป็นสองประเภทคือ กุมารทองใช้งาน 2.กุมารทองทำร้าย แต่วิธีเบื้องต้นในการสร้างคล้ายกันคือการนำวิญญาณใช้ประโยชน์แบบเตภูมิ อัน ประกอบด้วยธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ 
         
          ม้าสีหมอก                                                              
          สีหมอก เป็นม้าแสนรู้พาหนะประจำตัวของขุนแผน แม่เป็นม้าเทศชื่ออีเหลือง พ่อเป็นม้าน้ำ คลอดจากท้องแม่เมื่อวันเสาร์ขึ้น ๙ ค่ำ ตัวสีหมอก ตาสีดำ หลวงศรีวรข่านได้รับคำสั่งจากสมเด็จพระพันวษาให้ไปซื้อม้าที่เมืองมะริด ประเทศอินเดีย สีหมอกซึ่งเป็นลูกม้ารุ่นหนุ่มก็ติดตามแม่
มาด้วย แต่ความซุกซนทำให้เที่ยวไล่กัดม้าตัวอื่น ๆ อยู่เสมอ ต้องตามตำราจึงเข้าไปขอซื้อ
แล้วเสกหญ้าให้กิน สีหมอกก็ติดตามขุนแผนไปโดยดี
 

          ดาบฟ้าฟื้น                                         
           ดาบฟ้าฟื้นเกิดจาก การเอาเหล็กรวมทั้งโลหะอื่นแล้วก็นำมาหล่อรวมกัน พอฤกษ์งาม
ยามดีก็ตั้งศาลเพียงตา แล้วให้ช่างตีเหล็กบรรจงแต่งตามรูปที่ต้องการ
 เมื่อเสร็จแล้วมีสีเขียว
แมลงทับ จากนั้นก็เจาะไม้ชัยพฤกษ์เอาผมผีพรายตัวร้าย ๆ ใส่เข้าไปแล้วเอาชันกรอกทับเป็นด้าม เมื่อขุนแผนลองแกว่งดูก็เกิดเมฆลมพัดตลบอบอวลฟ้าผ่าดังเปรี้ยงปร้าง แล้วเอาไม้สรรพยามาทำฝักแต่งเติมเสริมความงามจนพอใจจึงตั้งชื่อว่า
 ดาบฟ้าฟื้น 

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2561

ไตรยางศ์ จำขึ้นใจใช้จนโตจ้าา


ไตรยางศ์


ไตรยางศ์หรืออักษรสามหมู่ ที่ทุกคนคนคงรู้จักกันดีเพราะเรียนตั้งแต่เป็นเด็กน้อยวัยน่ารักใสใสใช่ไหมคะ แต่ถึงอย่างไรนั้นบางครั้งเราก็มักจะลืมว่าแต่ละพยัญชนะอยู่ในหมู่ไหนกันนะ จันทร์เจ้าขาเลยขออาสาทบทวนความรู้เดิมให้นะคะ และจันทร์เจ้าขามีวิธีท่องจำ พร้อมทั้งการผันวรรณยุกต์ของแต่ละหมู่ที่ทำให้เราออกเสียงได้ถูกต้องนั่นเองงง เราไปเรียนรู้และทบทวนกันเลยดีกว่าค่ะ เย้ๆ























ง่ายมากเลยใช่ไหมคะ ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ในการพูดสื่อสาร การพูดออกเสียงให้ถูกต้องได้นะคะ

10 เพลงที่จันทร์เจ้าขาชอบฟัง

เพลงจ๋า พี่มาแล้วจ้ะ 

เวลาเหนื่อยล้าทุกคนคงมีสิ่งที่ทำให้ตัวเองผ่อนคลายใช่ไหมคะ บางคนอาจจะเดินเข้าป่า บางคนได้นอนแล้วรู้สึกสดชื่น ถ้ามีเวลาก็ไปหาที่เที่ยวสวย ๆ ผ่อนคลาย บางคนมีความสุขเล็ก ๆ กับการอยู่กับตัวเอง ให้เวลากับสิ่งที่รัก สำหรับจันทร์เจ้าขามีงานอดิเรกที่ทำยามว่างเหมือนกันค่ะ คือ อ่านหนังสือ เล่นเกม แต่ที่ทำบ่อยที่สุดเลยคือ ฟังเพลงค่ะ เวลาฟังเพลงทำให้อารมณ์ดีขึ้น ผ่อนคลายความเครียดได้ดีสุด เวลาเหนื่อยกับหลาย ๆ สิ่งที่เข้ามา ก็เพียงแค่สวมหูฟังเปิดเพลงดัง ๆ ฟังอย่างสบายใจก็พอแล้วค่ะ 
วันนี้จันทร์เจ้าขาเลยอยากขอแชร์เพลง 10 เพลง ที่จันทร์เจ้าขาฟังบ่อย ๆ อย่ารอช้าเลยค่ะ ลองฟังดู เผื่อสไตล์การฟังเพลงเราจะตรงกันนะคะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ





ชอบฟังอันดับที่ 1 : THANK YOU - GOT7






ชอบฟังอันดับที่ 2 : DAWN OF US - JACKSON WANG






ชอบฟังอันดับที่ 3 : LOVE SCENARIO - IKON






ชอบฟังอันดับที่ 4 : อยากเจอ - BLUE SHADE







ชอบฟังอันดับที่ 5 : ถ้าเรายังคิดึงกัน - BLUE SHADE






ชอบฟังอันดับที่ 6 : แต่ยังคิดถึง - ตู่ ภพธร






ชอบฟังอันดับที่ 7 : TRY TO - MAIYARAP






ชอบฟังอันดับที่ 8 : JUST RIGHT - GOT7






ชอบฟังอันดับที่ 9 : WHAT IS LOVE - TWICE







ชอบฟังอันดับที่ 10 : อย่าคิดมาก - THE OTHERS


  

เย้ๆ ได้ฟังกันไปแล้วใช่ไหมคะ เพราะหรือเปล่าเอ่ย? หรือตรงสไตล์คนไหนบ้าง ฮ่าๆ ถ้ามีใครชอบเหมือนกัน จันทร์เจ้าขาดีใจนะคะที่เจอคนสไตล์เดียวกัน คิคิ อ่าาบล็อกนี้ก็จบเพียงเท่านี้ค่าาา อยากมาแชร์เพลงเฉยๆเจ้าค่ะ คุคิคุคิ
  



เทคโนโลยีการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ E-BOOK

เทคโนโลยีการศึกษา E-BOOK


อีบุ๊ค (e-book, e-Book, eBook, EBook)  เป็นคำภาษาต่างประเทศ ย่อมาจากคำว่า electronic book หมายถึง หนังสืออิเล็กทรอนิกส์  ที่สร้างขึ้นด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์มีลักษณะเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โดยปกติมักจะเป็นแฟ้มข้อมูลที่สามารถอ่านเอกสารผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งในระบบออฟไลน์และออนไลน์ ประกอบด้วยตัวอักษร, ภาพนิ่ง , ภาพเคลื่อนไหว ,เสียง , ลักษณะที่ตอบโต้กันได้ (interactive) และการเชื่อมโยงแบบไฮเปอร์เท็กซ์ สามารถทำบุ๊คมาร์กและหมายเหตุประกอบตามที่ผู้ใช้ต้องการได้ โดยอาศัยพื้นฐานของเล่มหนังสือเป็นหลัก



วิวัฒนาการของ E-Book หนังสือที่มีอยู่โดยทั่วไป จะมีลักษณะเป็นเอกสารที่จัดพิมพ์ด้วยกระดาษ แต่ด้วยความเปลี่ยนแปลงของ  ยุค สมัย และความเปลี่ยนแปลงด้านเล็กทรอนิกส์ ที่มีการพัฒนาต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้มีการคิดค้นวิธีการใหม่โดยใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วย จึงได้นำหนังสือดังกล่าวเหล่านั้นมาทำคัดลอก (scan) โดยที่หนังสือก็ยังคงสภาพเดิมแต่จะได้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นแฟ้มภาพ ขึ้นมาใหม่ วิธีการต่อจากนั้นก็คือจะนำแฟ้มภาพตัวหนังสือมาผ่านกระบวนการแปลงภาพเป็นตัว หนังสือ (text) ด้วยการทำ OCR (Optical Character Recognition) คือการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อแปลงภาพตัวหนังสือให้เป็นตัวหนังสือที่สามารถแก้ไขเพิ่มเติมได้
            การถ่ายทอดข้อมูลในระยะต่อมา จะถ่ายทอดผ่านทางแป้นพิมพ์ และประมวลผลออกมาเป็นตัวหนังสือและข้อความด้วยคอมพิวเตอร์ ดังนั้นหน้ากระดาษก็เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นแฟ้มข้อมูล (files) แทน ทั้งยังมีความสะดวกต่อการเผยแพร่และจัดพิมพ์เป็นเอกสาร (documents printing) รูปแบบของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ยุคแรกๆ มีลักษณะเป็นเอกสารประเภท .doc, .txt, .rtf, และ .pdf ไฟล์ ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาภาษา HTML (Hypertext Markup Language) ข้อมูลต่างๆ ก็จะถูกออกแบบและตกแต่งในรูปของเว็บไซต์ โดยในแต่ละหน้าของเว็บไซต์เราเรียกว่า “web page” โดยสามารถเปิดดูเอกสารเหล่านั้นได้ด้วยเว็บเบราว์เซอร์ (web browser) ซึ่งเป็นโปรแกรมประยุกต์ที่สามารถแสดงผลข้อความ ภาพ และการปฏิสัมพันธ์ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 
            เมื่ออินเทอร์เน็ตได้รับความนิยมมากขึ้น บริษัทไมโครซอฟต์ (Microsoft) ได้ผลิตเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมาเพื่อคอยแนะนำในรูปแบบ HTML Help ขึ้นมา มีรูปแบบของไฟล์เป็น .CHM โดยมีตัวอ่านคือ Microsoft Reader (.LIT) หลังจากนั้นต่อมามีบริษัทผู้ผลิตโปรแกรมคอมพิวเตอร์จำนวนมาก ได้พัฒนาโปรแกรมจนกระทั่งสามารถผลิตเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ออกมาเป็นลักษณะ เหมือนกับหนังสือทั่วไปได้ เช่น สามารถแทรกข้อความ แทรกภาพ จัดหน้าหนังสือได้ตามความต้องการของผู้ผลิต และที่พิเศษกว่านั้นคือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ สามารถสร้างจุดเชื่อมโยงเอกสาร (Hypertext) ไป ยังเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ทั้งภายในและภายนอกได้ อีกทั้งยังสามารถแทรกเสียง ภาพเคลื่อนไหวต่างๆ ลงไปในหนังสือได้ โดยคุณสมบัติเหล่านี้ไม่สามารถทำได้ในหนังสือทั่วไป 


ลักษณะของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์มีโครงสร้างเหมือนๆ กับหนังสือเล่มทั่วๆ ไปโดยจะประกอบด้วยหน้าปกหน้า-หลัง, สารบัญ, เนื้อหาภายในเล่ม และดัชนี เนื้อหาภายในเล่มอาจจะแบ่งออกเป็นบทแต่ละบทมีจำนวนหน้ามากน้อยแตกต่างกันไป ในแต่ละหน้าจะประกอบด้วยตัวอักษร, ภาพนิ่ง, ภาพเคลื่อนไหว, เสียง หนังสืออิเล็กทรอนิกส์จะแตกต่างจากหนังสือเล่มในการพลิกหน้า โดยที่ไม่ได้มีการพลิกหน้าจริง หากแต่เป็นไปในลักษณะของการซ้อนทับกัน  สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์กับหนังสือเล่มอย่างเด่นชัดคือ การปฏิสัมพันธ์และความเป็นพลวัต  ซึ่งอาจจะแตกต่างกันล่างในหนังสืออิเล็กทรอนิกส์แต่ละเล่ม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การใช้งาน และการปฏิสัมพันธ์จากผู้อ่าน  หนังสืออิเล็กทรอนิกส์มีลักษณะเหมือนกับหนังสือเล่ม  คือ มีหน้าปกเพื่อบอกข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับหนังสือ หากใน 1 หน้า มีข้อมูลเป็นหน้าคู่ ด้านซ้ายมือเป็นหน้าซ้ายด้านขวามือจะเป็นหน้าขวา กดปุ่มไปหน้าก็จะไปยังหน้าต่อไป กดปุ่มถอยหลังจะกลับไปหน้าก่อนนอกจากนี้ยังสามารถกระโดดข้ามไปยังหน้าที่ผู้อ่านต้องการได้อีกด้วย หน้าสุดท้ายจะเป็นหน้าก่อนออกจากโปรแกรม ถึงแม้ว่าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์จะคล้ายกับหนังสือเล่มมากแต่ข้อจำกัดที่มีอยู่มากมายในหนังสือเล่มไม่สามารถส่งอิทธิพลมายังหนังสืออิเล็กทรอนิกส์แต่อย่างใด

ตัวอย่าง E-BOOK สวย ๆ ค่ะ